วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

การสอนภาษาไทย


เทคนิคการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้สนุก
เรียนรู้ภาษาไทยให้สนุก...
ฝึกคำกับสระ เมื่อเช้าเก็บมะเขือ ลงใส่เรือเตรียมไปขาย เรือนี้นั่งสบาย เรือเมื่อพายไปคล่องดี วันนี้ใส่เสื้อสวย แล้วรีบฉวยเสื่อม้วนนี้ ลงเรือในทันที ช่างโชคดีที่ลงเรือ                        
ภาษาไทยนอกจากเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติแล้วยังเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต   แต่ปัจจุบันยังพบปัญหาเกี่ยวกับการอ่านการเขียนของเด็กระดับประถมศึกษา  คือ อ่านไม่คล่อง  เขียนไม่คล่อง   ที่ร้ายแรงกว่านั้นเด็กไม่สามารถอ่านออกเขียนได้   สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเด็กไม่สนุกต่อการเรียนรู้   มีความทุกข์เมื่อถึงเวลาเรียนเพราะรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นเรื่องที่ยากต่อการเรียน  ดังนั้น  จึงได้จัดทำเอกสารเรียนรู้ภาษาไทยให้สนุก  ระดับประถมศึกษาขึ้น  เพื่อใช้เป็นแนวทางในการฝึกหลากหลายวิธี  แบบเล่นปนเรียน  ซึ่งเด็กระดับประถมศึกษายังชอบการเล่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้จังหวะ  เสียงเพลง เป็นส่วนหนึ่งที่เด็กจะเกิดความสุขในการเรียน  ผู้เรียบเรียงเอกสารได้นำมาใช้สอดแทรกในการฝึกอันจะทำให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น
 
หลักสูตรพิเรนทร์? ต้องฟ้องถึงครูใหญ่!!

        เมื่อคำว่า “เก” ไม่ได้อ่านว่า “กอ-เอ” แต่อ่านว่า “เอ-กอ”
        เมื่อคำว่า “จำ” ไม่ได้อ่านว่า “จอ-อำ” แต่อ่านว่า “จอ-อำ-อา”
        เมื่อคำว่า “มือ” ไม่ได้อ่านว่า “มอ-อือ” แต่อ่านว่า “มอ-อือ-ออ”
        เมื่อคำว่า “เสื่อ” ไม่ได้อ่านว่า “สอ-เอือ-เสือ-ไม้เอก-เสื่อ” แต่อ่านว่า “เอ-สอ-อือ-ไม้เอก-ออ”!!!
       

        ทั้งหมดนี้คือวิธีการสอนที่เขียนลงไปในแบบเรียนของเด็กชั้นประถมของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งจริงๆ โดยให้เหตุผลที่ต้องสอนให้แตกต่างจากความคุ้นชินของคนทั่วๆ ไปเอาไว้ว่า
       

        “สะกดอ่านเรียงไปตามตัวอักษร เพื่อให้เด็กเขียนได้เร็วและถูกต้อง สามารถวางตำแหน่งของสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ และตัวสะกด ได้ถูกที่”
       

        มองเผินๆ แล้วอาจจะเป็นวิธีการสอนที่ดูสร้างสรรค์และน่าจะช่วยให้เด็กๆ เขียนหนังสือได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะการสอนด้วยวิธีเดิมๆ อาจทำให้เด็กเขียนผิดได้ง่ายๆ เช่น ถ้าอ่านคำว่า “เก” เป็น “กอ-เอ” ตามวิธีการสอนที่หลายคนร่ำเรียนกันมา อาจทำให้เด็กเขียนตามคำอ่านจนกลายเป็น “กเ” หรือ คำว่า “แปด” ถ้าอ่านว่า “ปอ-แอ-ดอ” จะก็เป็น “ปแด” 
       

        แต่หารู้ไม่ว่า วิธีการสอนแบบใหม่นี้แหละที่น่าจะ “สร้างปัญหา” มากกว่าจะ “แก้ปัญหา” เพราะการสอนให้เด็กอ่านแยกชิ้นส่วนตามตำแหน่งการวางของพยัญชนะ-สระ-วรรณยุกต์ และตัวสะกด ทำให้เด็กเขียนถูกก็จริง แต่กลับทำให้พวกเขา “เขียนถูกแต่อ่านไม่ออก” และอีกสารพันปัญหาที่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยโวยว่อนเน็ตว่า จะไม่ยอมให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนที่สอนแบบนี้เด็ดขาด!!
       

        “แทนที่จะแก้ปัญหา คิดว่าน่าจะสร้างปัญหามากกว่านะคะ เพราะแทนที่จะให้เด็กรู้จักสระของภาษาไทยให้ครบ ให้ถูกต้อง แต่นี่มาใช้วิธีให้เด็กท่องเป็นส่วนๆ ทีนี้เด็กก็จะงงว่า เอ๊ะ! สระภาษาไทยมีกี่ตัวกันแน่ เรารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการสอนที่ไม่มององค์รวมของคำน่ะค่ะ เรารู้สึกว่าเขาไปโฟกัสแก้ปัญหาเรื่องเขียนผิดมากเกินไป แต่สิ่งที่ควรจะทำคือต้องสอนให้เด็กรู้จัก พยัญชนะ-สระ-วรรณยุกต์ ในภาษาไทยให้ครบต่างหาก
       

        เราทำงานแปล อยู่กับตัวอักษร เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าเสียดายภูมิปัญญาของบรรพบุรุษค่ะ สมมติว่าโรงเรียนอื่นเห็นว่าวิธีสอนแบบนี้ดีและทำตามกัน มันไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ อย่างเรามี “สระเออ” เวลามาอ่านสะกดคำแบบนี้ก็จะกลายเป็นแค่ “สระเอ+อ อ่าง” เพราะเขาอ่านแยก เด็กก็จะจำไม่ได้ว่ามันมาจากสระเออ และทำให้เด็กไม่ได้รู้จักภาษาไทยที่ถูกต้อง ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความลึกซึ้งในตัวเองค่ะ ไม่ใช่จะเอาสัญลักษณ์มาใส่รวมกันแล้วมองแค่นั้น
       

        เพื่อนๆ ที่เป็นแม่เหมือนกันก็ตกใจเหมือนกันค่ะที่เห็นแบบเรียนนี้แชร์กัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่า ฉันคงสอนลูกฉันไม่ได้แน่ๆ และเราจะไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่สอนแบบนี้ บอกเลยค่ะ (น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว) ถ้าอยากจะให้ลูกเราเรียนแบบนี้ อย่าเรียกมันว่าภาษาไทยค่ะ เรียกว่าการสะกดคำ คือถ้าจะให้เรียน คุณต้องมีหลักภาษาที่ถูกต้องสอนเด็กด้วย สมมติว่าถ้าลูกเราเรียนโรงเรียนที่มีหลักสูตรสอนแบบนี้ เราคงเอาปัญหานี้ยื่นร้องเรียนไปถึงอาจารย์ใหญ่เลยค่ะ
       

        ส่วนตัวแล้วก็โตมากับโรงเรียนที่ไม่ได้สอนหลักสูตรสามัญเหมือนกันค่ะ คือมันขึ้นอยู่กับโรงเรียนมากกว่า ถ้าจะสอนให้แตกต่างแล้วสามารถพัฒนาให้เด็กเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นมันก็ดีค่ะ แต่ทำแล้วมันไปผิดทางแบบนี้ก็อยากให้กลับไปพิจารณากันใหม่ด้วยว่ามันใช่หรือไม่ใช่กันแน่ ถ้ามีคน เอ๊ะ! เยอะขนาดนี้ มันไม่ใช่แล้วล่ะ
       

        คิดดูสิคะเวลาลูกมาให้เราสอนการบ้าน เราจะสอนเขายังไง คือเราอาจจะสอนลูกได้แหละค่ะ แต่เป็นแบบผิดๆ ถูกๆ ก็อาจจะต้องบอกลูกว่า หนูไปถามครูแล้วกัน แม่สอนการบ้านหนูไม่ได้แล้วล่ะ เพราะแม่ก็มึนกับแบบเรียนของหนูเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่คำตอบที่เราควรให้ลูกนะ” จิ-ปติมา รัชตวรรณ คุณแม่ลูกหนึ่ง นักแปลผู้คร่ำหวอดในวงการตัวอักษรขอแสดงความคิดเห็นแบบจัดเต็ม!!
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น